บทความที่ 12: รากฐานของโปรแกรม MRP

หากผู้เรียนได้เรียนรู้แนวทางการปฏิบัติที่เป็นเหตุเป็นผล ด้วยการฝึกฝนอบรมตนให้เป็นผู้มีสติ จนกระทั่งสามารถอยู่กับปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง แล้วปล่อยวางความถือมั่นสิ่งต่างๆที่ตนเคยยึดติดได้เรื่อยๆ จนหมดสิ้นไปได้ในที่สุด ด้วยการเดินทางบนเส้นทางสายเอก คือ สติปัฏฐานสี่ ผ่านโปรแกรม MRP  อย่างขยันหมั่นเพียร และมีระเบียบวินัยในตนเอง ก็จะสามารถค้นพบคำตอบในคำถามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของความเป็นคน     ที่ตนตั้งไว้ได้ด้วยตนเอง เช่น ตนนั้นเป็นใคร สิ่งใดที่ไม่ใช่ตน สิ่งใดที่ไม่ใช่ของตน สิ่งจำเป็นใดที่ตนควรศึกษาเรียนรู้ และตนจะต้องเข้าถึงสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้อย่างไร


คำถามหนึ่งที่น่าสนใจ และได้นำมาเป็นบทเรียนบทนี้ ก็คือ


โปรแกรม MRP มีที่มาอย่างไร มีรากฐานมาจากไหน แล้วทำไมต้องไปเชื่อมโยงกับ   สติปัฏฐานสี่?


คำตอบ คือ โปรแกรม MRP ได้มาจากการถอดรหัสธรรม เดินตามพระพุทธองค์ ผ่านปรัชญาอันลึกซึ้งที่ว่า


“พาจิตกลับมาที่ฐาน

เจริญวิปัสสนาญาณด้วยสติ

เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ

ให้เป็นผู้ดูรู้ธรรมดา”


สติปัฏฐานสี่ เป็นองค์ความรู้ของบรมครู คือ พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอันประเสริฐที่มีอายุยาวนานกว่าสองพันหกร้อยปี และมีการเก็บบันทึกไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนา หรือ พระไตรปิฎก ไว้ให้มหาชนได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเองทั้ง ภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ และภาคผลลัพธ์


สติปัฏฐานสี่ มีเนื้อหาสาระที่เป็นเหตุเป็นผลในตนเอง เป็นคำสอนทางการปฏิบัติ ซึ่ง เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของการใช้ชีวิตในความเป็นมนุษย์ นั่นคือ กายและจิต ที่ทุกคนสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเอง ให้เป็นจิตวิญญาณผู้มาครองกายมนุษย์ ที่มีสติตื่นรู้ เป็นจิตผู้ดูผู้มีอุเบกขา และเป็นผู้ไม่ประมาท สามารถประคองตนเองให้อยู่กับปัจจุบันได้สำเร็จ ทุกที่ทุกเวลา


สติปัฏฐานสี่ หมายถึง ธรรมชาติอันเป็นที่ตั้งของจิตในการเจริญสติของจิต ประกอบไปด้วย กาย (บ้านของจิต),  เวทนา (สภาวะความรู้สึกของจิต), จิต (สภาวะอารมณ์ของจิต), และธรรม (ภูมิปัญญาของจิต)


กาย เวทนา จิต และธรรม นั้นหากดูผิวเผิน อาจจะดูเหมือนว่าเข้าใจง่าย แต่ถ้าใครได้มีประสบการณ์ในการศึกษาจริงๆ จะพบว่าไม่ง่าย และอาจมีข้อสงสัยมากมายในขณะที่ศึกษาเรียนรู้อยู่นั้น โดยเฉพาะวิธีที่เรียนรู้แบบใช้การวิเคราะห์ การคิดจินตนาการ การพิจารณา โดยอาศัยหน่วยความจำของสมอง เน้นการศึกษาวิชาการมาก แต่ปฏิบัติน้อย หรือไม่ลงมือปฏิบัติเลย หรือแม้แต่นักปฏิบัติธรรมที่เน้นการปฏิบัติ แต่ปฏิเสธวิชาการ หรือ ให้ความสนใจในวิชาการน้อย ก็ไม่สามารถสร้างสมดุลความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรมแห่งสติปัฏฐานสี่ได้


วิธีการที่ถูกต้องในการเรียนรู้สติปัฏฐานสี่ ให้เข้าถึงความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม มีวิธีเดียวเท่านั้น นั่นคือ การลงมือทำตามภาคปฏิบัติ แล้วมาตรวจสอบประเมินตนตามภาคผลลัพธ์ ว่าตรงตามภาคทฤษฎี ในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่หรือไม่!!!


คัมภีร์สติปัฏฐานสี่ ในพระไตรปิฎกนี้ ได้ผ่านการทดสอบมายาวนานถึง 2,600 กว่าปี และยังคงสืบต่อเนื้อหาสาระ และหลักการที่ถูกต้องให้มหาชนได้พิสูจน์ด้วยตนเองจาก รุ่นสู่รุ่น จนถึงปัจจุบัน


ซึ่งหากจะเปรียบคัมภีร์นี้ก็เปรียบเสมือนดั่ง ทองคำแท้ แม้จะฝังตัวอยู่ในก้อนหิน ทองแท้นั้นก็จะถูกนำมากระเทาะ แล้วนำมาหลอม จนกระทั่งนำมาแปรรูปเป็นทองรูปภัณฑ์ ซึ่งยังคงความเป็นทองแท้และทรงคุณค่า อยู่อย่างนั้นตราบนานเท่านาน


ถึงแม้นว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่อยู่ใน สติปัฏฐานสี่ ทั้งหมดนั้นได้ถูกพิสูจน์และทนทดสอบว่า เป็นของแท้มาอย่างยาวนานกว่า 2,600 ปี


แต่เราซึ่งเป็นชนรุ่นหลัง จะเริ่มต้นศึกษาเรียนรู้อย่างไรให้เข้าใจและเข้าถึงได้?


โปรแกรม MRP หรือ Mind Retreat Program ซึ่งแปลว่า โปรแกรมการพาจิตกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ หรือ โปรแกรมการพาจิตกลับบ้าน จึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้!!!


โปรแกรม MRP เริ่มต้นการเรียนรู้เพื่อเปิดประตูสู่ สติปัฏฐานธรรม ด้วย อานาปานสติ หรือ การฝึกฝนเจริญสติด้วยการสังเกต “ลมหายใจของกาย” อันเป็นชุดความรู้แรกในหมวดของ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่


แล้วเชื่อมโยงความรู้เข้าไปในชุดความรู้ต่างๆในคัมภีร์นี้ไปตามลำดับ ได้แก่


กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน

เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน

และ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน


จนกระทั่งผู้เรียนสามารถพาตนเองเข้าถึง “ความเป็นจิตผู้ดูผู้มีอุเบกขา” อันเป็นชุดความรู้ที่สี่ในหมวดของ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สัมโพชฌงค์เจ็ด


ซึ่งเมื่อผู้เรียนได้ฝึกฝนอบรมตนในการเจริญสติมาถึง “ความเป็นจิตผู้ดูผู้มีอุเบกขา” นี้ได้ ก็จะสามารถยกระดับจิตขึ้นสู่ความเป็นผู้รู้แจ้ง ในชุดความรู้สุดท้ายในหมวดของ         ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  นั่นคือ อริยสัจสี่ หรือ “ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ” อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของการเจริญสติตามแนวทางของ คัมภีร์สติปัฏฐานสี่


ผู้ใดที่เข้าใจภูมิปัญญาแห่งสติที่ซ่อนอยู่ใน สติปัฏฐานสี่ ด้วยการเรียนรู้พร้อมกับลงมือทำ (Learning by Doing) ผู้นั้นย่อมเข้าถึง “การเดินบนทางสายเอก”


ผู้ใดที่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น จิตผู้ดูผู้มีอุเบกขา ผู้นั้นได้ชื่อว่า พาตนดำเนินมาจน “สุดทางสายเอก”


ผู้ใดที่สามารถเดินบนทางสายเอกจนสุดทาง แล้วบังเกิดความเห็นแจ้งและเข้าใจใน ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ผู้นั้นย่อมก้าวเข้าสู่ “การเดินบนทางสายกลาง”   


และ ผู้ใดที่สามารถพัฒนาตนเอง จนประสบกับความสำเร็จในการเดินบนทางสายกลางนี้ได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุ คุณภาพจิตในระดับสูงสุด นั่นคือ อรหัตตผล จึงได้ชื่อว่าพาตนมาจน “สุดทางสายกลาง”

ดังนั้นผู้เรียน

จะต้องพากเพียร เรียนรู้ และฝึกฝนอบรมตน
ด้วยการพาตนดำเนินไป
ให้สุดทางทั้งสองสาย
นั่นคือ
ทางสายเอก (สติปัฏฐานสี่)
และทางสายกลาง (มรรคแปด)



การเรียนรู้ หรือ การศึกษา สิ่งใดก็ตาม การเริ่มต้น มีความสำคัญที่สุด เพราะ การเริ่มต้นที่ถูกต้องจะทำให้เกิดความรู้จริงและรู้แจ้ง อย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็นขั้นเป็นตอน เป็นเหตุเป็นผล จนกระทั่งรู้จนจบ ครบทั้งหมด โดยเฉพาะความรู้ในสิ่งที่จำเป็น และมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง



การเรียนรู้พร้อมกับลงมือทำ หรือ Learning by Doing ในโปรแกรม MRP เพื่อพาตนเองเข้าไปรู้แจ้ง คัมภีร์สติปัฏฐานสี่ ถือเป็นการเริ่มต้นที่ถูกต้องชอบธรรมต่อผู้เรียน ทุกคน



โปรแกรม MRP ใช้รหัสแห่งสติ สามรหัส ได้แก่ B O และ PP เป็นกลยุทธ์ในการเริ่มต้นเรียนรู้เพื่อเปิดประตูสู่ภูมิปัญญารู้แจ้งของพระพุทธเจ้า ในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่ โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้



รหัส B ย่อมาจากคำว่า Breath หรือ ลมหายใจ ซึ่งหมายถึง การฝึกฝนเจริญสติด้วยการสังเกตลมหายใจของกาย อันเป็นรหัสแห่งสติที่ถอดมาจากชุดความรู้แรกในหมวดของ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่ คือ อานาปานสติ



รหัส O ย่อมาจากคำว่า Observer base หรือ ฐานจิตผู้ดู ซึ่งหมายถึง การฝึกฝนเจริญสติเพื่อยกระดับจิตให้มาเป็น จิตผู้ดูผู้มีอุเบกขา ณ ฐานจิตผู้ดูนี้ อันเป็นรหัสแห่งสติที่ถอดมาจากชุดความรู้ที่สี่ในหมวดของ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ สัมโพชฌงค์เจ็ด



รหัส PP ย่อมาจากคำว่า Problem Point หรือ จุดที่มีปัญหา ซึ่งหมายถึง การฝึกฝนเจริญสติเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งใน “ไตรลักษณ์” (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) หรือ ธรรมชาติสามประการ (ความไม่คงอยู่ถาวร ความไม่สมบูรณ์ และบังคับไม่ได้) ของจุดที่มีปัญหาต่างๆ เหล่านั้น



ซึ่งจุดที่มีปัญหา หรือ รหัส PP นี้ เป็นรหัสแห่งสติที่ถอดมาจากชุดความรู้ที่เหลือทั้งหมดของคัมภีร์สติปัฏฐานสี่ อันได้แก่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน



ยกเว้น “อานาปานสติ” และ “สัมโพชฌงค์เจ็ด”
ที่ถูกยกให้เป็น รหัส B และ รหัส O ไปแล้วนั้น



การเรียนรู้รหัสแห่งสติทั้งสามรหัส คือ B O และ PP เป็นการเชื่อมโยงความรู้เข้าไปในชุดความรู้ต่างๆในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่ ไปตามลำดับ ได้แก่



กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 
ในโปรแกรม MRP หมายถึง บ้านของจิต


เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในโปรแกรม MRP หมายถึง สภาวะความรู้สึกของจิต

จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในโปรแกรม MRP หมายถึง สภาวะอารมณ์ของจิต


ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในโปรแกรม MRP หมายถึง ภูมิปัญญาของจิต



โปรแกรมการเจริญสติ หรือ โปรแกรม Mind Retreat Program : MRP

เป็นโปรแกรมการเรียนรู้ด้านการเจริญสติที่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องโดยมีการเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติควบคู่ไปพร้อมกัน มีทั้งหมด 4 ระดับ ได้แก่



ระดับที่ 1 ระดับทดลอง (Trial level)

ระดับที่ 2 ระดับจำเป็น (Essential level)

ระดับที่ 3 ระดับมาตรฐาน (Standard level)

ระดับที่ 4 ระดับปรมาจารย์ (Master level)



โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 1 ระดับทดลอง (Trial level)


เป็นการเรียนรู้และฝึกฝนการเจริญสติ โดยใช้รหัสแห่งสติ ได้แก่ รหัส B, รหัส O, และ รหัส PP เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ และเป็นการเปิดประตูสู่ความรู้แจ้งตามหลักการเจริญสติ  ในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่ของพระพุทธเจ้า

ซึ่งการเรียนรู้ระดับนี้ ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนทักษะและเรียนรู้ “จุดปัจจุบันทั้งเก้า” ที่มีในรหัส B และ รหัส O ได้แก่ B1 B2 B3 B4 Door B5 B6 B7 และ O8 เพื่อสร้างสมดุลชีวิตกับ รหัส PP อันจะทำให้ผู้เรียนสามารถพาจิตมาอยู่กับปัจจุบันขณะ โดยใช้จุดปัจจุบันทั้งเก้านั้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในทุกสถานการณ์

(โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 1 ระดับทดลอง (Trial level) นี้มีระยะเวลาในการเรียนรวมทั้งหมด 12 ชั่วโมง)



โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 2 ระดับจำเป็น (Essential level)



การเรียนรู้ในระดับที่สองนี้ ผู้เรียนจะได้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องจากการเรียนรู้ในระดับที่หนึ่งด้วยการทำความรู้จักและเข้าใจทักษะและความสามารถของตนเองเพิ่มขึ้นในการพาตนเองกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ ผ่านการเรียนรู้ “เทคนิคการใช้รหัสแห่งสติ จำนวน 13 เทคนิค”

ซึ่ง 13 เทคนิคนี้ ประกอบไปด้วย

  1. การออกกำลังจิต

  2. การสัมผัสรับรู้ B ที่โดดเด่น

  3. การตื่นรู้อยู่กับ B อันเป็นที่รัก

  4. การอธิษฐานจิต

  5. การตั้งสัจจะอธิษฐาน

  6. การแผ่กระแสบุญ

  7. การทำ MOU (ข้อตกลงความร่วมมือกับเจ้ากรรมนายเวร)

  8. การเพิ่มพลังจิตที่ O8

  9. การเพิ่มความเร็วของจิต

  10. การทำสัมมาสมาธิเบื้องต้น

  11. การสื่อสารกับจิตจักรวาล

  12. การสลายพลังงานขยะ

  13. การผสมสูตรรหัสแห่งสติ

ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกใช้เทคนิคต่างๆ ทั้ง 13 เทคนิค ในการสร้างสมดุลชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงได้อย่างผู้มีสติ

(โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 2 ระดับจำเป็น (Essential level) นี้มีระยะเวลาในการเรียนรวมทั้งหมด 60 ชั่วโมง)



โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 3 ระดับมาตรฐาน (Standard level)

การเรียนรู้ในระดับที่สามนี้ ผู้เรียนจะสามารถยกระดับความรู้ความเข้าใจของตนเองให้เข้าใจและเข้าถึงภูมิปัญญารู้แจ้งของพระพุทธเจ้าในคัมภีร์สติปัฏฐานสี่ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ชื่อว่า “ศิลปะการยกระดับจิตสู่มาตรฐานสติปัฏฐานสี่” (กาย/บ้านของจิต, เวทนา/สภาวะความรู้สึกของจิต, จิต/สภาวะอารมณ์ของจิต, และธรรม/ภูมิปัญญาของจิต) โดยใช้ทักษะ การหมุนกงล้อแห่งการตื่นรู้ (ยืน เดิน นั่ง นอน) เป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้

(โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 3 ระดับมาตรฐาน (Standard level) นี้มีระยะเวลาในการเรียนรวมทั้งหมด  720  ชั่วโมง และสำเร็จโปรแกรมด้วยการเข้าแคมป์เป็นเวลา 10 วัน)




โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 4  ระดับปรมาจารย์ (Master level)



การเรียนรู้ในระดับที่สี่นี้ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และฝึกฝนอบรมตนจนกระทั่งมีความเข้าใจชัดเจนในการเจริญสติตามแนวทาง สติปัฏฐานสี่ ของพระพุทธเจ้า และสามารถประเมินผลพฤติกรรมของตน (ปรมาจารย์แห่งสติ) ด้วยกระบวนการเรียนรู้แบบ Learning by Doing และ Learning by Teaching ในหมวดของสามัคคีธรรมอันประเสริฐ หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ

ซึ่งสามัคคีธรรมอันประเสริฐ หรือ โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ นี้ได้นำมาใช้เป็นเครื่องมือชี้วัด ความก้าวหน้าพฤติกรรมจิตของปรมาจารย์แห่งสติในระดับที่สี่ ของโปรแกรม MRP อันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า “ผู้ใดที่เป็นปรมาจารย์แห่งสติ แล้วผ่านการประเมินผลพฤติกรรมของตนด้วยหมวดธรรมนี้ได้แล้ว ย่อมสามารถพาตนให้ดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพานได้ในที่สุด”


(โปรแกรมการเรียนรู้ ระดับที่ 4  ระดับปรมาจารย์ (Master level) นี้มีระยะเวลาในการเรียนรวมทั้งหมด 1,684 ขั่วโมง โดยการเข้าแคมป์เป็นเวลา 108 วัน)


การเรียนรู้ โปรแกรม MRP ทั้งสี่ระดับ จึงเป็นการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจและสามารถเข้าถึง คัมภีร์สติปัฏฐานสี่ ของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธีการ “ถอดรหัสธรรม เดินตามพุทธองค์” นั่นเอง


สรุปความในบทเรียนนี้โดยย่อว่า


๑.

“พาจิตกลับมาที่ฐาน

เจริญวิปัสสนาญาณด้วยสติ

เมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ

ให้เป็นผู้ดูรู้ธรรมดา”






๒.

“ผู้ใดแจ่มแจ้งในโปรแกรม MRP ผู้นั้นย่อมเข้าถึง สติปัฏฐานสี่”







และ

๓.

“ผู้ใดบริบูรณ์แล้วในสติปัฏฐานธรรม ผู้นั้นย่อมเข้าถึง อมตะพระนิพพาน”


Previous
Previous

บทความที่ 13: สมมติของกายและจิต

Next
Next

บทความที่ 11: ปิยโปฎกโมเดล